คุณภาพของอากาศอัดกับมาตรฐาน ISO
“คุณภาพ” เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการ ไม่ว่าจะเลือกซื้อสินค้าหรือเลือกบริโภคสิ่งใด เรามักคำนึงถึงเรื่องคุณภาพสินค้าเป็นหลักในการตัดสินใจก่อนเสมอ คุณเองในฐานะผู้ผลิตจึงควรตระหนักถึงเรื่องคุณภาพในกระบวนการผลิตด้วย
ในฐานะผู้นำด้านระบบอัดอากาศ แอตลาส คอปโก้ ตระหนักดีถึงความสำคัญของคุณภาพอากาศอัดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยของกระบวนการผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรม การทำความเข้าใจในเรื่องคุณภาพอากาศอัด ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการสารปนเปื้อนต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ เครื่องจักร และแม้กระทั่งสุขภาพของพนักงาน
ISO 8573-1:2010 มาตรฐานชี้วัดคุณภาพอากาศอัด
ระบบอัดอากาศที่ดีควรจะมีตัวกรอง (Air filter)
ลมอัดบริสุทธิ์: ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Air Filter ในระบบอัดอากาศ? แอตลาส คอปโก้ เข้าใจเรื่องขบวนการผลิตที่ต้องมีการควบคุมความสะอาดทุกขั้นตอนแม้กระทั่งลมอัดในระบบปั๊มลม และขอย้ำถึงความสำคัญของการมีระบบลมอัดที่ปราศจากการปนเปื้อน ซึ่งเริ่มต้นที่ การติดตั้งตัวกรองอากาศ ที่เหมาะสม โดยพื้นฐาน เครื่องอัดอากาศหรือปส่วนใหญ่มักจะมาพร้อมกับการติดตั้งตัวกรองอากาศตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไป นั่นเป็นเพราะว่าอากาศจากภายนอกที่ถูกดูดเข้ามาในนั้น เต็มไปด้วยสารปนเปื้อนไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก, เศษทราย, เกลือ, เม็ดน้ำตาล, ผงคาร์บอนสีดำ, อนุภาคสนิม, ผงซีเมนต์, ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างแบคทีเรียหรือไวรัส สิ่งปนเปื้อนเหล่านี้อาจจะสามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเครื่องจักรภายในโรงงานรวมถึงเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมและ/หรืออุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์สุดท้ายในสายการผลิต ไม่เพียงแต่จะบั่นทอนอายุการใช้งานของเครื่องจักร แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และอาจถึงขั้นทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณเสียหาย ไม่ได้มาตรฐานได้ ก่อให้เกิดการเสียชื่อเสียงและไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งยากต่อการกู้กลับคืนกับผู้บริโภคมาได้ การติดตั้งตัวกรองเสริมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าลมอัดที่ได้นั้นมีคุณภาพสูง มีประสิทธิภาพในการกรองสิ่งปนเปื้อน และช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับการผลิตของบริษัทคุณ
ทำไมคุณต้องรู้ว่าคุณภาพอากาศอัดของคุณบริสุทธิ์เพียงใด?
● การใช้งานระบบอัดอากาศบางอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้อากาศอัด (compressed air) ที่มีคุณภาพสูง เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมนั้นๆ และหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับกรณีไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด
● ตามกฎทั่วไปแล้ว ยิ่งต้องการความบริสุทธิ์ของอากาศอัดมากเท่าไหร่ กระบวนการผลิตก็จะยิ่งมีราคาสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ไส้กรอง (Filter) หรือเครื่องทำลมแห้ง (Dryer) ก็จะมีค่าไฟฟ้าตามมา ดังนั้นการเลือกใช้ความบริสุทธิ์ให้เหมาะสมกับการใช้งานจะช่วยให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าและยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
จะทราบได้อย่างไรว่าการใช้งานของคุณควรใช้คุณภาพระดับใด?
สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป การเลือกค่าความบริสุทธิ์ของอากาศอัดก็เหมือนกับงานที่น่าปวดหัวงานหนึ่ง อย่างไรก็ตามเรามีสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือ มาตฐาน ISO 8573-1:2010
ISO 8573 เป็นมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของลมในระบบอากาศอัด (compressed air) ซึ่งจะแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ตามสิ่งเจือปนในอากาศจำพวกฝุ่นละออง น้ำ ก๊าซ การปนเปื้อนทางจุลชีววิทยา และน้ำมัน
ซึ่งมาตรฐาน ISO 8573-1:2010 นี้จะเป็นตัวชี้วัดระดับความบริสุทธิ์ของอากาศ ทำให้ผู้ใช้งานระบบอัดอากาศสามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม
เราช่วยแก้ปัญหาเพื่อตรวจวัดคุณภาพลมอัดให้คุณกับ บริการรับตรวจวัดคุณภาพลมอัดในโรงงาน
ISO 8573-1:2010 คืออะไร?
มาตรฐาน ISO แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามประเภทของสิ่งปนเปื้อน
กลุ่มที่หนึ่ง : อนุภาคของแข็ง ฝุ่นละอองต่างๆ
กลุ่มที่สอง : อนุภาคของเหลว ละอองและไอน้ำ
กลุ่มที่สาม : อนุภาคของน้ำมัน ละอองน้ำมันและไอน้ำมัน
ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีระดับความบริสุทธิ์ที่แตกต่างกันถึง 10 ระดับ (อนุภาคของแข็งมี 8 ระดับ ของเหลว 10 ระดับและน้ำมัน 5 ระดับ)
การเลือกระดับความบริสุทธิ์ของอากาศอัดให้เหมาะสมกับการใช้งานจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ใช้งานระบบอัดอากาศ วิธีการดูง่ายๆ คือ ยิ่งตัวเลขระดับมีค่าน้อยมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าอากาศก็ยิ่งบริสุทธิ์มากเท่านั้น เช่น อากาศระดับ class 4 จะมีสิ่งปนเปื้อนมากกว่าอากาศระดับ class 3
ในกรณีของอนุภาคของแข็ง มาตรฐานระดับ class ความบริสุทธิ์จะเป็นตัวกำหนดปริมาณสิ่งปนเปื้อนในอากาศที่สามารถบรรจุได้ต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนนี้จะแบ่งย่อยเพิ่มเติมตามขนาดอนุภาค ตัวอย่างเช่น
Class 1 ต้องมีอนุภาคขนาดไม่เกิน 20,000 หรือน้อยกว่าที่มีขนาด 0.1-0.5 ไมครอน 400 หรือน้อยกว่าอนุภาคที่มีขนาด 0.5-1 ไมครอนและ 10 หรือน้อยกว่าอนุภาคที่มีขนาด 1-5 ไมครอน (หน่วยไมครอน เป็นหน่วยวัดขนาดและเท่ากับ 1/1000 ของมิลลิเมตร)
Class 2 ต้องการอากาศที่มีอนุภาค 400,000 หรือน้อยกว่าที่มีขนาด 0.1-0.5 ไมครอน 6,000 หรือน้อยกว่าอนุภาคที่มีขนาด 0.5-1 ไมครอนและ 100 หรือน้อยกว่าอนุภาคที่มีขนาด 1-5
Class 3 จะไม่ได้ระบุปริมาณของอนุภาคและเริ่มต้นด้วย Class 6 มาตรฐาน ISO ระบุเฉพาะความเข้มข้นของมวลของอนุภาคในหน่วยมิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเท่านั้น
ในกรณีของเหลว ระดับ Class จะเข้มงวดมากขึ้น ตามระดับค่า pressure dew point ซึ่งเริ่มต้นที่ Class 7 โดยพิจารณาจากปริมาณของเหลวในอากาศที่มีหน่วยเป็นกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากค่า pressure dew point ของ Class 1 ต้องมีอย่างน้อย -70 องศาเซลเซียส ในขณะที่ Class 9 สามารถมีน้ำหรือไอน้ำได้มากถึง 5-10 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร
เลือกตัวกรองอย่างไรให้ถูกต้องตามมาตรฐาน ISO
ตอนนี้คุณก็พอจะทราบแล้วว่าการใช้งานอากาศอัด (compressed air) ของคุณควรเลือกใช้มาตรฐาน ISO ระดับ class ใด ควรเลือกใช้ตัวกรองแบบใด เมื่อเราทราบคุณภาพอากาศที่ต้องการ ก็จะทำให้คุณเลือกตัวกรองได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ตัวกรองอากาศรุ่น UD+ filters จาก Atlas Copco เป็นตัวกรองที่ได้มาตรฐาน ISO class [1:-:2] นั้นหมายความว่าตัวกรองนี้สามารถกรองได้ทั้งอนุภาคของแข็ง ซึ่งก็คือ class 1 และสามารถกรองน้ำมัน ซึ่งก็คือ class 2 แต่จะไม่สามารถกรองอนุภาคของเหลวได้ เป็นต้น
ตัวกรอง (Filters) และการนำไปประยุกต์ใช้งาน
เมื่อคุณทราบแล้วว่าการใช้งานอากาศอัด (compressed air) ของคุณควรเลือกใช้มาตรฐาน ISO ระดับ class ใด คราวนี้คุณก็สามารถวางแผนการติดตั้งอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับการใช้งานได้
Filters Air dryers เครื่องทำลมแห้ง การบำบัดก๊าซและอากาศ Refrigerant dryers ตัวกรอง ไดรเออร์ดูดความชื้น
